วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

หลักการใช้ชีวิตคู่

คุณขา สมัยเป็นแฟนกันใหม่ๆอยู่คนละประเทศ โทรศัพท์คุยกันหนุนหนิง คุยเป็นนานแสนนานไม่มีเบื่อ น้องอยากได้อะไร เดี๋ยวพี่ซื้อให้ taobao บ้านพี่มีทุกอย่าง ตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ โบราณท่านว่า ขนาดน้ำต้มผักยังว่าหวาน ก็นั้นแหละค่ะ ช่วงโปรโมทชั่นทุกอย่างดีงาม ตดน้องพี่ก็ว่าหอม 5555
แต่คุณขาโปรดจำไว้ ว่านี่มันเกิดจากการหลั่นของสารเคมีในสมองที่มีชื่อว่า PEA (phenyl-ethyl-amine) หรือมีชื่อเป็นภาษาไทยว่า " แอมเฟตามีน " ถ้าหากคุณเดินไปดีๆแล้วสายตาของคุณไปสะดุดกับหนุ่มรูปงาม ซึ่งอาจจะรูปงามสำหรับคุณคนเดียว 555 แต่ขณะช่วยเวลานั้น คุณรู้สึกหัวใจเต้นแรง หายใจถี่ขึ้น รู้สึกกระซุ่มกระซวยเสียวซานทั้งตัว นั้นแหละค่ะ ขอต้อนรับเข้าสู่ บ้านAF คุณคือผู้โชคดี โดนอี แอมเฟตามีน เล่นงานแล้ว สารนี้มันจะย้ายมาอยู่กับคุณตั้งแต่จีบกันใหม่ๆ จะอยู่กับคุณทุกที่ทุกเวลาถึงแม้เวลาที่คุณไม่ต้องการมันมันก็จะตามคุณไป ช่วงที่ความรักมีโปร หรือช่วงที่คุณมี แอมเฟตามีน คนดีๆจะกลายเป็นคนป่วย โรคแรกคือ ย้ำคิดย้ำทำ 555 ทำตัวงอแง๋เหมือนเด็ก นั่งอมยิ้มคนเดียว เดินไปหน้าปากซอย แดดร้อนๆก็เดินยิ้มไป คนอื่นมองก็ว่า อีนี้คงร้อนจนเป็นบ้า คิดไปวนเวียนแต่เรื่องเดิม จิตนาการเพ้อฝันไป บ้างคนถึงขั้นแต่งงาน ทั้งที่เพิ่งรู้จักกัน อาทิตย์เดียว 555 โรคที่สองคือโรคความจำเสื่อม


ญ: ตัวเองกินข้าวกับอะไร อร่อยป่าว?  แล้วก็คุยกันไปไม่รู้คุยอะไร แต่คุยได้เป็นชั่วโมงๆแล้วก็วกกลับมาที่เดิม



ญ: ตัวเองกินข้าวกับอะไรอ่ะ?



ช: เอ้าเมื่อกี๊ตัวเองถามเราไปแล้วนี่ เรากินกับโน่น นี่ นั้น



ญ:เราจำไม่ได้ 55555



ช: ไม่เป็นไรจ๊ะ



แม๋ผู้ชายในช่วงโปรนี้ก็ใจดี เหมือน อดัม ถามได้ตอบได้ ไม่รำคาญเลย พอหมดโปร



ญ;ตัวเองเมื่อกี้กินข้าวกับอะไร



ช: เอ้าก็บอกไปแล้วจำไม่ได้เหรอ เป็นโรคอัลไซเมอร์หรือเปล่า ห๊า !! หา น้ำมันปลากินด้วยล่ะ

โรคที่สามคือโรคอัมพาต ผู้หญิงเราเวลาไม่มีแฟน ถังน้ำใบละ 5 ลิตรเดินแบกขึ้นไปชั้น2ดิฉันก็แบกมาแล้วค่ะ ดิฉันนั้นเป็นลูกชาวไร่ชาวนาอย่างแท้จริง ทน อย่างกระเบื้องตราช้าง แต่พอมีแฟนปุ๊บ มือเท้าดิฉันง่อยขึ้นทันที ในช่วงโปร เวลาจะเดินไปไหน คุณแฟนก็จะจับมือเดิน ประคับประคองอย่างกะดิฉันท้องใกล้จะคลอง  เวลาจะนั่งก็เลื่อนเก้าอี้ให้ จะขึ้นรถก็เปิดประตูรถให้  ดูซิค่ะ จะไม่ให้ฉันตายใจได้อย่างไง เธอนั้นแสนดี แต่พอหมดโปรเท่านั้นแหละ  เอ้า เดินเร็วๆนี้ซิเดี๋ยวรถก็ซนตาย ??? ไอ้ที่จะจับมือข้ามถนนนั้นนานๆทีค่ะ บ้างครั้งฉันกำลังมองดูของข้างทางเพลินๆ เอ้าแฟนต่รู เดินข้ามถนนไปครึ่งทางแล้ว จะเรียกเราแล้วก็ไม่ได้ ทะเลาะกันเรื่องนี้ทีไร นางก็บอกว่า เผื่อเกิดอุบัติเหตุจะได้เหลือไว้คนหนึ่ง รับเงินประกันเหตุผลข้างๆคูๆ  ดูซิค่ะ ช่วงเวลาของซินเดอเรลล่านั้นกำลังหมดลง สำหรับสาร แอมเฟตามีน ฉันเรียกมันว่า สารแห่งการหลอกลวง หลอกให้รัก หลอกให้รออยู่ หลอกให้ฉันทุ่มเทหัวใจ 5555 สารนี้จะมีอยู่แค่เพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น แล้วมันก็จะหมดไปค่ะ แล้วก็จะมีสารใหม่ที่มีฤทธิ์แรงกว่าเข้ามาค่ะ และคุณก็จะปฏิเสธมันไม่ได้เช่นกัน มันคือ โดปามีน (dopamine) โดปามีนนั้นมีสารออกฤทธิ์คล้ายกับยาเสพติด เช่น ยาบ้า ยาอี ยาไอซ์ .ซึ่งทำให้มีความต้องการใกล้ชิด อยากพูดคุย อยากใช้เวลาอยู่ด้วยกันกับคนรัก  แต่ถ้าหากวันไดที่เกิดไม่ได้เจอ ไม่ได้เห็นหน้าคนรัก หรือมีเหตุให้ต้องเลิกลากันไป สารนี้ก็จะทำให้คุณเป็นทุกข์ กระวนกระวายใจ นอนไม่หลับ หงอยเหงา เศร้าสร้อย สำหรับใครที่อกหัก หรือรู้สึกว่า คุณแฟนไม่ค่อยสนใจ โปรดเข้าใจว่านี่ อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของการหลั่ง(หรือการทำงานของสารเคมีในสมอง) แต่ทั้งนั้นทั้งนี้เชื่อเถอะค่ะ ว่าการที่คนสองคน มาใช้ชีวิตด้วยกันมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มันต้องใช้ทั้ง สาดและสินคือ สาดที่เอาไว้ ปูนั่ง และ สายสิน ไว้มัดผู้ชาย โอ้ย++ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ศาสตร์ หมายถึงยุทธศาสตร์ กลยุทธ วิธีการจัดการ ส่วนศิลป์ คือ ศิลปะ มารวมกันแล้วคือ ศิลปะแห่งการร่ายรำ 55555 มั่วกันไปใหญ่


ดิฉันสนใจในเรื่องนี้มากเป็นพิเศษเพราะพักหลังๆมานี้ คุณแฟนทำตัวห่างเหิน (คิดไปเอง ทั้งๆที่อยู่ด้วยกัน 24 ชม)  ยกเว้นเวลาเข้าห้องน้ำ แต่นั้นมันก็ทำให้ดิฉันเป็นโรคซึมอยู่สามวัน สามคืนเต็มๆ คิดไปต่างๆนาๆ หรือว่าแฟนเราจะมีสามีใหม่ 55555  ฉันก็เริ่มศึกษาอย่างเอาเป็นเอาตาย พบว่า ศาสตร์และศิลป์แห่งการใช้ชีวิตคู่นั้นมีดังนี้



ขั้นตอนที่  1. Romantic Love จะเกิดจากการหลั่งของฮอร์โมนในสมอง ซึ่งมีระยะเวลา ประมาณ 8เดือน ถึง 14 เดือน อาการที่ตื้นเต้น หัวใจเต้นถี่ ประหม่า หน้าแดง อยากเจอหน้าคนที่รัก อยากใช้เวลาอยู่ด้วย กระวนกระวายใจเมื่อเวลาไม่ได้เจอ อาการเหล่านี้จะค่อยๆหมดไปค่ะ จนทำให้คู่รักหลายคู่เข้าใจว่า ไม่ได้รักกันแล้ว ทั้งที่จริงอาจจะรักกันอยู่ เพียงแค่ไม่มีอาการพวกนี้แล้ว

ขั้นตอนที่ 2. reasoning love  คือการเริ่มมองเห็นข้อดีและข้อเสียของคนรัก ซึ่งถ้าหากเรายอมรับทั้งข้อดีและข้อเสียได้ ความรักของเราก็จะพัฒนาไปต่อได้ แต่มีหลายคู่ที่ยุติความสัมพันธ์ในขั้นนี้





ขั้นตอนที่ 3 Life long friendship  จะเป็นแบบอยู่ด้วยกันแบบเพื่อนสนิท อยู่ด้วยกันแบบผูกพันธ์ มีความเอื้ออาทรต่อกัน



ซึ่งก็มีรายละเอียด ย่อยดังนี้ค่ะ



1.รับผิดชอบต่อคู่ของตัวเอง ไม่โทษกัน รับผิดชอบด้วยกัน (เมื่อทำอะไรผิด ไม่พูดว่า ตรูบอกแล้วด๋วยว่าอย่าเฮ็ด เป็นจังใด๋ 5555 อุ๊ยลืม เสียงในฟิลม์อีกแล้วค่ะ) อย่าเว้าเด้อ เดี๋ยวผู้บ่าวรู้สึกบ่ดี เว้าดุดุ เดี๋ยวเขาทิ้งเด่ 555 ( บอกตัวเองนั้น )



2.ป้องกันระบบอื่นๆที่จะเข้ามามีผลกระทบต่อ ความสัมพันธ์อย่างเช่น ครอบครัว พี่น้องปู่ย่าตายาย 555




3.เริ่มแรกมีความสัมพันธ์ของคนสองคน อันนี้สำคัญ *** ต้องเข้าใจอีกฝ่ายว่าต้องการอะไร และจะได้ตอบสนองได้ถูก จะได้ไม่เกิดปัญหา ....ต้องหัดหมั่นสังเกต อย่างแฟนชอบกินเต้าหู แต่ตำส้มตำปลาร้าให้ มีเคือง 555 ต้องหัดสังเกต จดจำ ใส่ใจค่ะ เขาก็จะสัมผสได้ถึงความรักความใส่ใจที่เรามีให้เขา (หรออออออ) แต่ถ้าหากเขาสัมผัสไม่ได้ ก็ให้ท่องเอาไว้ค่ะ ....ช่าง....มัน 5555



4.หาเวลาทำกิจกรรมโน่น นี่ นั้น ด้วยกัน ก่อให้เกิดความใกล้ชิดสนิทสนม เวลาเกิดปัญหาก็ช่วยกันแก้  ทำให้เกิความแน่นแฟ้นขึ้น



5.*****สำคัญมากค่ะ คือความอดทน ต้องประกอบด้วยความรัก ไม่ใช่ทนไปเรื่อยๆ เพราะถ้าหากคุณทนไปเรื่อยๆโดยที่ไม่มีความรัก วันหนึ่งที่คุณเหลืออดคุณก็จะไปเลย ( ไปจังหวัด เลย ) 5555 ไม่ใช่ ไม่ใช่

ค่ะ ***ความอดทน นั้นต้องประกอบด้วยความรัก และการให้อภัย ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือทักษะ สามารถฝึกฝนกันได้  ฝึกบ่อยๆ


6. passion อารมณ์รัก  ทั้งนั้นทั้งนี้หญิงและชายจะต้องมีความรักให้กันเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ความรักจึงจะดำเนินตามขั้นตอนที่ได้อธิบายไว้ขั้นต้น



เวลามีปัญหา ต้องอดทน แล้วก็ทำตัวเหมือนกับฟองน้ำ คือเวลาที่มีน้ำเยอะๆก็สามารถดูด ซึม ซับ ไม่นานก็แห้ง เวลามีแรงกระทบจากภายนอกเราก็ยุบตัวได้ ไม่นานเราก็ฟื้นคืนได้ นี่คือศิลปะในการใช้ชีวิตคู่



และที่สำคัญเวลามีปัญหาต้องมีอย่างน้อย สามทางเลือกขึ้นไป เพราะจะทำให้เราปรับตัวเข้าหากันได้ง่ายขึ้น



เป็นไงล่ะค่ะ สาด และ สิน สำหรับการใช้ชีวิตคู่555 หวังว่่าน่าจะมีประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย แต่ด้วยส่วนตัวฉันเชื่อว่า ผู้หญิงไทยเก่ง ขยัน และอึด มาก 555 อาจเป็นเพราะเราโดนอบรมสั่งสอนมาแต่เด็ก เรื่องความอบน้อมถอมตน การมีสัมมาคารวะ ซึ่งเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว คนไทยใจดี ยิ้มแย้มแจ่มใส มีเสน่ห์ จะอยู่ที่ได๋ก็มีแต่คนรัก และรักนานด้วยเด้อ .....สาธุ


  ต้องขอบคุณ ข้อมูลจาก พ.ญ ภัทรวรรณ ขันธ์แก้ว จิตแพทย์ โรงพยาบาลมนารมย์












อาหารแบบจีนๆ

สมัยอยู่เมืองไทยได้ยินเสียงคำร่ำลือว่า อาหารจีนนั้นทานเป็นยา ก็คิดสภาพว่าก็คงจะจืดๆเหมือนต้มจืดบ้านเราแต่ไม่ใส่น้ำตาล คิดไปเอง...แต่พอมาสัมผัสอาหารจีนจริงๆ วันแรกที่มาถึง คุณผู้ชายก็สั่งอาหารมาหลายอย่างทั้งคาวหวาน ...ดูน่าอร่อย แต่ เอ๊ะ ทำไมเขาใส่น้ำมันกันเยอะเหลือเกิน คุณแฟนก็บอกว่า นั้นคือ น้ำซุปชั้นดี แต่เอ๊ะ !!ไม่น่ะ นั้นบ้านฉันมันเรียกว่าน้ำมัน..ไม่ใช่น้ำซุป

วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เสน่ห์มหานครเซียงไฮ้

สวัสดีค่ะ หายหน้าตาไปเกือบอาทิตย์คิดถึง งานเขียนของตัวเอง แต่ติดภาระกิจตามไปรับใช้คุณแฟน ซึ่งนางถูกเชิญไปบรรยายที่เซี่ยงไฮ้ ซึ่งก็ถือเป็นฤกษ์ดียามดี ถือโอกาสไปเที่ยวซะเลย แถมงานนี้ฟรีเกือบทุกอย่าง ยกเว้นค่าตั๋วเครื่องบินของดิฉันเอง ได้ดูหนังเรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้มานานแสนนาน จนจะจำเค้าโครงเกือบไม่ได้ จำได้แต่ โจเหวินฟะ สมัยนั้นหล่อมาก 5555  ครั้งนี้มีโอกาสได้ไปเยือนสมใจ
หลังจากเตรียมตัวและเตรียมใจ เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ตั๋วเครื่องบินพร้อม ใจพร้อม ก็ถึงเวลาบินค่ะ จากเซินเจิ้นไปเซี่ยงไฮ้จะใช้เวลาประมาณ 2ชั่วโมงครึ่ง แต่ดิฉันนั้นต้องบินไปเปลี่ยนเครื่องที่ อีกเมืองหนึ่ง แป๋วจำชื่อเมืองไม่ได้ 5555 ซึ่งไม่จากที่เซินเจิ้นมาเมืองนี้ ประมาณ 1 ชม แล้วก็พักเครื่องอีกหนึ่งชั่วโมง แล้วก้บินต่อ อีกชั่วโมงครึ่งก็ถึง ท่าอากาศยานนานาชาติเซียงไฮ้ผู่ตง ( พักเป็นลมแป๊บ) เหตุที่ดิฉันต้องเปลี่ยนเครื่องเพราะดิฉันเป็นคนขี้งกค่ะ 5555 บ่อตรง ไม่ใช่ไม่ใช่ เพราะดิฉันนำมาคิด ลบบวกคูณหารกันแล้ว ตั๋วเครื่องของดิฉันไป-กลับ ยังถูกกว่าของคุณแฟน ที่ไปขาเดียวด้วยซ้ำ แต่ของคุณแฟนทางฝ่ายจัดงานออกให้ทั้งหมด ดิฉันเป็นคนคิดเยอะค่ะก่อนจะบินก็คิดโน่น นี่ คิดไปจนลืม ใบตม * ซึ่งเป็นใบสีเหลืองๆ เขาให้ดิฉันกรอกตอนมาจากประเทศไทยเข้าเซินเจิ้นครั้งแรก ตายแหละตรู่ ทำไงดี ไม่รู้ว่าเขาได้ใช้หรือเปล่า เป็นครั้งแรกด้วยที่บินภายในประเทศจีน ซึ่งก็คงต้องไปกรอกใหม่ถ้าหากเขาใช้ พอหมดกังวลเรื่องใบ ตม มาตกใจเรื่อง เปลี่ยนเครื่องอีก เขาบอกให้ตรู่ไปเปลี่ยนเครื่องแต่ทำไมไม่มีเอกสารอะไรบอกเลยว่า ต้องไปเก็ทไหน flight No อะไร

ในตั๋วเครื่องบิน บอกแต่ต้นทาง แล้วก็ปลายทาง ดิฉันนี่งงอย่างกะไก่ตาแตก เมื่อ 3 ปีก่อนเคยมาเปลี่ยนเครื่องที่จีนก็จะมีบอกว่า flight No. what time ก่อนจะไปต่อเครื่อง
ให้เลยว่ะ ซึ่งตอนเช็คอินก็ถามพนักงานๆก็บอกแต่ให้ว่า นั่งรอบนเครื่อง แต่พอถึงเมืองที่จะต้องเปลี่ยนเครื่องแอร์ กลับบอกให้ลงไปก่อน ซึ่งเราก็เดินตามคนเขาไป ซึ่งก้จะมีพนักงานยืนถือป้ายบอกว่า สำหรับใครที่จะต่อเครื่องไปเซียงไฮ้ให้เข้าไปนั่งรอในเก็ทก่อนและให้กระดาษมาแผ่นหนึ่ง ประมาณนี้ค่ะ 


 ส่วนสำหรับใครที่มีจุดหมายที่นี้ก็จะเดินไปอีกที่  ซึ่งดิฉันก็นั่งรอ โดยที่ไม่รู้อะไรเลย โดยหน้าจอทีวีไม่ขึ้นโชว์ด้วยซ้ำว่า จะบินกี่โมง flight อะไร ซึ่งก็มีแต่ประกาศเป็นภาษาจีนเท่านั้น ดิฉันก็เดินไปถามคนจีนคนหนึ่งคิดว่า เขาหน้าจะพูดภาษาอังกฤษได้ แต่ สิ่งที่ได้รับคือ พูดไม่ได้ หรือไม่อยากพุดกับเราอันนี้ไม่รู้ หน้าบึ้งใส่อีก คนจีนคนดีก็มีน่ะค่ะ แต่ส่วนมากที่เจอคือ เขาไม่ค่อยมีน้ำใจ ก็เลยเดินต่อไปอีกไปถามอาซิ่ม แกก็ใจดีทั้งที่แกพูดอังกฤษไม่ได้ แกก็กดโทรศัพท์ให้ดู ว่าอีก 1 ชม ซึ่ง 1 ชม ต่อมาก็ขึ้นเครื่องๆที่บินมาจากเซินเจิ้นนั้นแหละค่ะ แต่ไปจอดส่งผู้จะลง รับผู้โดยสารคนใหม่ เหมือนรถบัสบ้านเรา หลังจากนั้นอีก ชม ครึ่งก็ถึง ท่าอากาศยานนานาชาติเซียงไฮ้ผู่ตงซึ่งผู้ดิฉันเคยมาเมื่อ 3 ปีที่แล้วตอนเปลี่ยนเครื่องไป กรุงโซล ประเทศเกาหลี แต่ครั้งนี้แอบตื่นตาตื่นใจเล็กน้อยเพราะว่าที่สนามบินได้เปลี่ยนไปมากมีการประดับตกแต่ง จัดเป็นโซน โน่น นี่ นั้น สวยงามขึ้นมาก ไม่เหมือนสุวรรณภูมิบ้านเรา เริ่มแรกเป็นอย่างไง ตอนนี้ก็เป็นอย่างนั้น ( แอบบ่น 555) 









และแล้วช่วงเวลาที่สำคัญและรอคอยก็มาถึง เดินตามเขากับอ่านป้ายด้วย ไปแผนกรับกระเป๋า ห๊า!! ไม่ต้องผ่าน ตม ไม่ต้องเขียนอะไรทั้งสิ้น แค่ลงจากเครื่อง แล้วเดินตามเขามา รับกระเป๋าเสร็จก็เดินออกไปที่ประตู ซึ่งคุณแฟนซึ่งมาถึงก่อน ก็รอรับที่นั้น  เสร็จศึก 5555  
หลังจากนั้นก็เรียกใช้บริการ Uber ไปโรงแรม ซึ่งคิดว่า Uberที่นี้แพงกว่าเซินเจิ้นและปักกิ่งด้วยซ้ำ พอไปถึงโรงแรมเช็คอิน ก็มีปัญหาเล็กน้อยเกี่ยวกับวีซ่าค่ะ คือทางเราไม่มีปัญหา แต่ทางรีเชฟชั่นไม่เข้าใจเรื่องการนับวีซ่าเข้าออก ต้องยืนอธิบายนานพอสมควร หลังจากที่ชีเข้าใจเป็นอย่างดีแล้ว ชีก็ต้องโทษยกใหญ่ เอ่อ เพลียจริงๆค่ะ  พอเอาของไปเก็บเสร็จก็ไปกินข้าวกับฝ่ายจัดงาน พร้อมทั้งทราบรายละเอียดของงานสำหรับพรุ่งนี้  หลังจากกินข้าวเสร็จ เรื่องงานเสร็จก็ถึงเวลาไปลั้นลา ท่องราตรีในเซียงไฮ้ 


เรานั่งแท็กซี่ ลอดอุโมงข้ามแม่น้ำผู่ตงค่ะ อเมซิ่งมาก 555


ไปเดินเล่นแถว The Bund   ซึ่งอาคารมีสถาปัตยกรรม คล้ายๆในยุโรปค่ะเหมือนกำลังเดินเล่นในกรุงปารีส 555 ส่วนเดินข้ามถนนมานิดหนึ่งก็จะมีทางเดินที่กว้างมาก มองไปฝั่งตรงข้ามมีแต่ตึกสูงๆ มีรูปทรงแปลกตาทั้นนั้น





เมื่อมองไปฝั่งตรงข้าม




คิดว่า ถ้าหากเเป็นช่วงกลางวัน หรือตอนเช้าต้องสวยมากๆค่ะ 

................................................
พอถึงตอนเช้าคุณแฟนก็ไปทำงาน ดิฉันก็มีหน้าที่ติดตามไป ...สร้างภาระให้เขา 555 ที่ๆคุณแฟนทำงานเป็นตึกสูงหลายสิบชั้น ดิฉันเลยเก็บภาพวิวสวยๆของ กรุงเซียงไฮ้มาฝากค่ะ 






เซียงไฮ้ สวยงามมากจริงๆค่ะ อาการช่วงที่ไปอากาศก็กำลังดี ตกหลุมรักเลยค่ะ 


มีดอกไม้หลายสายพันธ์ถูกปลูกเต็มไปหมด 
.........................................
หลังจากทำงานเสร็จ คุณแฟนก็พาไปไหว้พระที่วัด Jing'an  ซึ่งเสียค่าเข้า คนละ 50หยวนหรือประมาณ 250บาท สองคน 500   แพงอ๋ะ 
พาคุณแฟนไหว้พระขอพร ขอให้ธุรกิจเฮง เฮง รวยๆค่ะ 





เสร็จแล้วเราก็ไปเดินเล่นต่อ ที่ French Concession ย่างช้อปปิ้ง ซึ่งคุณแฟนก็คะยั้นคะยอให้ดิฉันช้อปปิ้ง ซึ่งก็ไม่ได้กินเงินดิฉันอีกเช่นเคย ดิฉันรู้สึกว่า ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ครีม รองเท้า ที่เมืองจีนนั้นแพงเหลือเกิน ดิฉันเก็บเงินไปช้อปที่ฮ่องกงถูกกว่า 555 ดิฉันไม่ได้ช่วยแฟนประหยัดเกินเหตุน่ะค่ะ แต่ดิฉันนั้นถือคติว่า เงินแฟนก็เหมือนเงินเรา เพราะ 99 % ดิฉันนั่นเป็นคนถือกระเป๋าสตางค์ ดิฉันเสียดายถ้าหากใช้เงินฟุ่มเฟือย เราสองคนทำงานกันวันละหลายสิบชม. เหนื่อยกว่าจะได้ตังค์ 5555 เขาเรียกว่า งก หรือเปล่าอ่ะ คงไม่หรอกเนอะ 
.............................................
พอถึงรุ่งขึ้นดิฉันตื่นเช้ามาก เพราะดิฉันนั้นมีไฟท์ 9.05 เลยต้องตื่น 6โมงเช้าค่ะ เช็คเอาท์เสร็จ นั่งแท็กซี่ไปสนามบินอีกทีชื่อว่า  สนามบินหงเฉียว ซึ่งคล้ายๆกับสนามบินดอนเมืองบ้านเราค่ะ พอไปถึงเราก็เช็คก่อนค่ะว่า สายการบินของเรานั้น อยู่ในช่องไหนA B C D 






แล้วเราก็มาเช็คอินที่ตู้ค่ะ สะดวก รวดเร็วด้วยค่ะ แต่ต้องไปที่หน้าเคาร์เตอร์ แล้วก็ดูด้วยน่ะค่ะว่า สายการบินไหน หน้าตาจะเป็นแบบนี้ค่ะ

คุณแฟนกำลังเช็คอินให้ค่ะ :-)

พอเช็คอินเสร็จก็จะได้ ตั๋วเครื่องบินออกมาแบบนี้ หลังจากนั้นถ้าหากเราไม่มีสัมภาระก็เดินเข้าไปข้างในได้เลยค่ะ แต่ถ้าหากมีกระเป๋าจะต้องโหลด ก็ไปโหลดกระเป๋าที่เคาน์เตอร์

พยายามถามคุณแฟนว่า ตอนที่ไปโหลดกระเป๋านั้น ต้องไปโหลดที่ช่อง web check in หรือว่าช่องไหนก็ได้ นางบอกว่า ที่ช่องไหนก็ได้ ถ้าหากไม่มีคน ...
เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ สำหรับทริปตามคุณแฟนมาเที่ยว ขอบคุณที่กรุณาอ่านจนจบ ถ้าหากมีอะไรอยากสอบถามเพิ่มเติมถามได้เลยค่ะ หรือติคอมเม้นท์ได้ค่ะแต่อย่าแรง 5555 เป็นคนขี้ใจน้อยค่ะ เดี๋ยวโรคหัวใจกำเริ่บ 5555 อืมสำหรับวันนั้น ดิฉัน flight delay ไป 3ชมค่ะ จาก 9.05 นเป็น 12.45 น
ส่วนคุณแฟนน่าสงสารสุดๆ จาก 10.45น เป็น 18.45น แต่คนที่น่าสงสารยิ่งกว่าคือดิฉันเอง เพราะต้องนั่งรอคุณแฟน จนถึง 21.00น เพราะกุญแจห้องอยู่กับนาง เวรกรรม ........
ดอกกุหลาบดอกแรกที่คุณแฟนมอบให้ เกือบจะซึ่ง ถ้าหากไม่เห็นนางหยิบมาจากแจกันโต๊ทานข้าวซะก่อน ....อืม

เมืองฉงซิ่ง เมืองแห่งสายหมอกและ hotpot

มีโอกาสได้ติดตามคุณ สามีไปทำงานที่เมืองฉงซิ่งค่ะ เคยดูรายการที่นี่หมอชิตเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ที่มาถ่ายทำที่เมืองนี้ดิฉันก็ตื่นเต้นเป็นการใหญ่ เขาว่า สวยๆ อะไรสวยรึ แฟนตอบ ผู้หญิง !! ดูไอ้แก่มันตอบ ดิฉันก็นึกว่าบ้านเมืองเขาสวย หลังจากเก็บกระเป๋าเอาหมาไปฝากไว้ที่โรงรับจำนำเรียบร้อย เอ้ย ไม่ใช่ ที่ร้าน pet shop ซึ่งแพงมาก ตกวันละ 70 หยวน นี่ต้องเอาอาหารไปให้ที่ร้านด้วย แล้วก็ต้องจ่ายค่าอาบน้ำด้วย เบ็ดเสร็จ 10 วัน เป็นเงินถึง 4,000 บาทไทย อิแม่เป็นลม หลายคนสงสัยทำไมไปนานจัง ป่าวค่ะ ดิฉันกับแฟนไปทำงานแค่ 7 วัน อีก3 วันทำงานกันจนเพลินแล้วลืมไปรับ หมา ตัวเอง (สมควร ) 5555
เก็บกระเป๋าก็ถึงเวลาบิน ซึ่งใช้เวลาในการบิน ประมาณ 2ชั่วโมงครึ่ง ก็ถึงที่หมาย 555 จำชื่อสนามบินไม่ได้ แล้วก็นั่งแท็กซี่ไปที่โรงแรม ใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที รถวิ่งผ่านหุบเขาสูง สลับกับหมู่บ้านเล็กๆบนเขาซึ่งก็กระจายกันไปตามแนวความยาวของถนน ไม่ได้อยู่ติดกันเหมือนหมู่บ้าน . บ้างครั้งก็เห็นแปลงปลูกผักเล็กๆหน้าบ้าน

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ตามหาหมอฟัน

คุณ คุณขา ปวดอะไรก็ไม่ทุกข์ทรมานเท่ากับปวดฟัน ปวดฟันนี้ ถ้าหากมันปวดมาก มันจะปวดตุ๊บ ตุ๊บ ตามจงหวะการเต้นของหัวใจค่ะ ทั้งเนื้อทั้งตัวที่หมดเงินไปกับมันมาที่สุดก็คงไม่พ้น หมดไปกับ เรื่อง ฟัน ไม่ว่าจะเป็น การจัดฟัน  (เปลี่ยนหมอมา 3 ที) อุดฟัน ไม่อยากจะคิดว่าให้เจ็บปวดหัวใจ ว่า จ่ายไปเท่าไร บ้างคนบ้างท่านอาจจะติเตียนว่า ดิฉันเป็นคนไม่มีวินัย ไม่ได้ไปตามนัด คิดไปต่างๆน่า ๆ แต่ช้าก่อนค่ะ ดิฉันนั้นไปหาหมอเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อเปลี่ยนลวดดัดฟัน จ่ายก็ 2 ครั้ง เพราะอยากให้มันเสร็จๆซะที นี่ยังไม่นับไปรักษารากฟัน ไปอุดฟัน ไปขูดหินปูน  ดิฉันเจอหน้าหมอฟันบ่อยกว่าเจอหน้าของพ่อแม่ของตัวเองซะอีก.......บ้างครั้งดิฉันก็คิดว่า จะเอาหมอฟันซะให้มันรู้แล้วรู้รอด (หมายถึงหาหมอฟันเป็นแฟนซะ555)  เพราะแค่คิดกับเงินที่หมดไปกับการรักษาฟัน ดิฉันก็สามารถเอาเงินส่วนนั้นไปหมั้นคุณหมอได้แล้วค่ะ ดิฉันไม่ได้แค่คิดอย่างเดียวน่ะค่ะ แต่ลงมือปฏิบัติเรียบร้อย เวลามีนัดไปทำฟันครั้งใด ดิฉันก็ส่งสายตาหวานเยิ้มไปถึงคุณหมอรูปงาม แต่คุณหมอก็หามีปฎิกิริยาใดๆ ตอบสนองไม่ คุณหมอคงคิดอีนี่มีปํญหาเรื่องสายตาหรือเปล่า 5555แต่ไม่รุ้ว่าเป็นบุญหรือกรรมถ้าหากดิฉันมีแฟนเป็นคุณหมอ  (มโน )ป่ี้านนี้ อาฟ่งของฉันก็คงนอนเหงาป่าวเปลี่ยวใจ 5555

เรื่องที่ทำให้ดิฉันเจ็บปวดใจ นอนสะดุ้งทุกคืนคงเป็นเรื่องอื่นไม่ได้ นอกเสียจากเรื่องฟัน เรื่องมีอยู่ว่า ก่อนที่จะมาเมืองจีน ดิฉันนอนปวดฟันอยู่หลายคืน แก้มนี่บวมอย่างกะไข่ห่าน จนในที่สุดทนไม่ไหว  ก็เลยตัดสินใจไปคลินิกทันตกรรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพ #1 คุณหมอบอกว่าต้องอุดฟันราคาค่าอุดกับค่าเอ็กซ์เรย์ รวมทั้งหมด 1200 โอเคฉันก็จ่ายพร้อมกับร้องตะโกน (ในใจ) ให้หมดเวรหมดกรรมกันซะที อาทิตย์ต่อมา ครบอาทิยต์แปะ เริ่มเสียวฟัน ที่จุดเดิม อืมหรืออาจจะเป็นเพราะผลข้างเคียง (ยังเข้าข้างตัวเอง) ปวดบ่อยๆนานๆเข้า ทนไม่ไหว ก็เลยไปหาหมอที่นี่ย้ายคลีนิก มาคลีนิกข้างๆบ้าน#2คุณหมอก็หาไม่เจอว่า ฟันเล่มไหนที่ผุ เพราะมองไม่เห็น ก็เลยรื้อของเก่า แล้วอุดใหม่ เสียอีกครั้ง 1300 รวมค่าเอ็กซ์เรย์ 10วันต่อมา ปวดอีก ใกล้ๆซี่เดิมไปหาคุณหมอ ที่คลีนิกเดิม#3 คุณหมอก็อุดให้ซี่ข้างๆ จ่ายไป 900 ยังไม่ถึงเดือนซี่แรกที่อุดไป ยังปวดอีก ปวดจนแก้มบวม ปวดจนอยู่ๆน้ำตาก็ไหล ....กลับไปหาคุณ#4หมอคลีนิกเดิมเพราะติดใจในความหล่อ+ค่าเอ็กซ์เรย์+กับค่าโง่ของตัวเองหมดไป 1100แล้วคุณหมอรูปงามก็ พูดว่า "ถ้าหากอุดครั้งนี้ยังปวดอยู่ ก็คงต้องรักษารากฟันแหละครับ ค่ารักษารากฟันทั้งหมด 5000 แบ่งจ่ายได้ครับ พร้อมกับโชว์รอยยิ้มที่แสนหวาน .......ส่วนดิฉันเป็นลมตั้งแต่นาทีแรกแรก ทำไมคุณหมอถึงไม่บอกตั้งอุดครั้งแรก ถ้าหากนับเงินรวมกัน รักษารากฟันได้ ซี่ครึ่งแหละ ตอนนี่นั่งเขียนไปก็ยังโมโห จิตเกิด คุณๆขาเดี๋ยวนี้คลีนิกทันตกรรมกลายเป็นธุรกิจเชิงพานิย์ไปซะแล้ว สมัยก่อนดิฉันไปหาหมอจัดฟันเดือนละ 2 รอบ แทบจะไม่ได้คุยกับคุณหมอ ถ้าหากไม่ยกมือขึ้นแล้วมีคำถาม เพราะ คนไข้รอคิวเยอะเหลือเกิน

จากอีสานบ้านเกิดเมืองนอน มาเล่นละครบทชีวิตเศร้า555 หนูหิ่นอินเตอร์ หลังจากบินมา เซิ่นเจิ้นไม่ถึง 10วัน ฟันซี่นั้นซี่เดิม ก็แสดงอิทธิฤทธิ์อีกครั้ง เคี่ยวๆอยู่ถ้าหากเศษอาหารโดนจุดปวด มันจะทำให้คุณเกิดสามาธิขั้นสุดยอด คุณจะปล่อยวางทุกสิ่ง เหลือไว้เพียงมือข้างที่คุณปวด เพื่อใช้กดไปที่ฟัน(ที่จริงมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรทางการรักษา แต่มันช่วยทางจิตวิทยา 555 คุณแฟนก็เลยทำการ search หาข้อมูล ก็ไปได้คลีนิกหนุ่งใกล้ๆที่ทำงานค่ะ ไปถึงคุณหมอก็เรียกเข้าห้อง ขึ้นเตียงเช็คฟัน โดยมีคุณแฟนเป็นล่าม (มีใครคิดเหมือนกันหรือเปล่าค่ะ หมอฟันที่จีนส่วนมากพูดภาษาอังกฤษไม่ได้)  พอคุณหมอเช็คเสร็จก็หันหน้าไปคุยกับคุณแฟน ภาษามนุษย์ต่างดาว (ตอนนั้นภาษาจีนแย่มากค่ะ ณ ปัจจุบันก็ยังเหมือนเดิม 555แล้วจะพูดทำไม ) สรุปว่า คุณหมอบอกว่า ฟันของดิฉันแข็งแรงดีทุกอย่างไม่มีฟันผุเลย........เหรอออออ แล้วที่ก_ กินยาพาราเกือบแผง มันคือ ? ฟันก็ปวด ศูนย์ก็ศุนย์ คุณแฟนเห็นสีหน้าคงรู้ว่าอีกไม่ช้าจะมีพายุเข้า นางก็เลยรีบ  ค้นหาคลีนิกอีกครั้ง ครั้งนี้นางรับปากเลยว่า เขาต้องหาฟันผุของเธอเจอแน่ มันเป็นโรงพยาบาลใหญ่เลยน่ะ เครื่องไม้เครื่องมือครบ ก็หอบสังขารกันไป ไปถึงเป็น hong kong university hospital in shenzhen  นี่คือลิงค์ค่ะเพื่อใครมีอะไรฉุกเฉิน http://www.hku-szh.org/en/index.html เป็นโรงพยาบาลใหญ่ ดูทันสมัย คุณแฟนก็รีบไปติดต่อเคาเตอร์ กรอกรายละเอียด สอบถามบัตรคิว ปรากฎว่า ได้คิวเป็นวันที่ 4 เมษายน ซึ่งวันนั้นน่าจะเป็นวันที่ 6มีนา โอ้ย!จะอุดฟันสักที ต้องจองคิวข้ามเดือน ถ้าหากรักษารากฟันไม่ต้องข้ามปีเหรอค่ะ อืม จิตเกิด เหมือนคุณแฟนจะสัมผัสได้ ถึงความอำมหิตนางเลยรีบค้นหาคลีนิกที่ใหม่ ซึ่งที่นี้ไม่ไกลจากที่ทำงาน

ซึ่งที่นี้เป็นคลีนิกขนาดปานกลางไม่ใหญ่ไม่เล็กมาก มีประมาณ 4-5 ห้อง กะด้วยสายตา 555 แต่คุณหมอเก่งมากค่ะ ไปเจอเป็นคุณหมอผู้หญิงตัวเล็กๆ แทบไม่ต้องเอ็กซ์เรย์เลย นางก็บอกว่า ฟันมันผุน่ะ ข้างในเลย ต้องรักษารากฟันอย่างเดียว ประทับใจนางมากแต่ที่เข้าใจนางพูดเพราะคุณแฟนเป็นล่ามแปลให้ฟัง ค่ะ ก็รักษารากฟันไปตามระเบียบ ขั้นตอนการรักษาคงไม่ต้องบรรยายหรอกเนอะ เพราะว่ามันน่าเกลียดมาก และตอนนั้นดิฉันก็อับอายมาก ไหนจะคุณหมอ ผู้ช่วยคุณหมออีก 2 คน ไหนจะคุณแฟนที่จะต้องมาเป็นล่ามจำเป็น 4-5 คนมามุงดูฟันเน่าๆของตัวเอง ณ ตอนนั้นดิฉันแกล้งตายเหมือนหมี ใครถามอะไรก็เอ่อ ออ หมด เพราะอยากให้มันเสร็จเร็วๆ จ่ายไป 800 หยวนดิฉันจ่ายครั้งเดียว ไม่รู้ว่าเขามีแบ่งจ่ายเหมือนไทยไหม แล้วก็มาพบคุณหมออีก 2 รอบ สรุปคือ ดิฉันรักษารากฟันโดยพบคุณหมอ 3 รอบ นับรวมกับวันแรก เสียค่าใช้จ่ายทั้งหมด 4000 บาท คิดเป็นเงินไทย ประทับใจคุณหมอเก่งและน่ารักมาก  สำหรับใครที่อยู่ เซินเจิ้น มีปัญหาเรื่องฟัน สามารถไปที่คลีนิกนี้ได้ค่ะ อ่านไม่ออก 5555 ไม่รู้ชื่ออะไร 5555 แต่มีนามบัตร หรือโทรไปสอบถามราคาได้ค่ะ (ถ้าหากคุณ หรือ มีเพื่อน หรือ มีแฟนพูดภาษาจีนได้) แต่สำหรับภาษาอังกฤษไม่มั่นใจค่ะ ลองดูค่ะ เพราะเคยมีนัดหนึ่งที่คุณแฟนไปด้วยไม่ได้ นางติดงาน วันนั้นดิฉันกับคุณหมอ เราสื่อสารกันทางมือค่ะ หมายถึง ใช้มือพิมพ์ used google translate ซึ่งอากู๋บ้างทีก็ eeror บ้างครั้งก็แปลรวน  แปลความหมายไปคนละทิศเลย......เอ้ย ทำใจ





สำหรับดิฉันยังมีอีก 3 ซี่ที่จะต้องไปอุด คุณแฟนบอกว่า เงินเดือนๆนี้คงไม่พอกับค่ารักษาฟันเธอ 555 ทำไงได้ คงได้แต่ทำใจ 


ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ติดตามอ่าน สาวชัยภูมิกับหนุ่มจีนค่ะ ถ้าหากมีอะไรจะสอบถามหรือติชม สามารถคอมเม้นท์ได้เลยค่ะ สัญญาว่าจะหาเรื่องราวใหม่ๆมาเล่าสู่กันฟังค่ะ 

ด้วยรัก ลัดดาวัลย์

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2559

ปลาร้าที่รัก

     ฉันมาอยู่เมืองจีนสามเดือนกว่าๆ จะเข้าสี่เดือน แม๋ฉันนั้นเป็นลูกอีสานมาแต่กำเนิด กินส้มตำเป็นอาหารหลัก สัมตำจะอร่อยก็ต้องเป็นส้มตำปูปลาร้า อืม ++ พูดแล้วน้ำลายยายไหลย้อย 5555 เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ไม่มีค่ากับฉันเท่ากับปลาร้า ...ฉันตามหาปลาร้าตั้งแต่อาทิตย์แรกที่มาถึงที่นี้ คุณข๋าในเว็บ taobao , Alibaba มันก็ไม่มีค่ะ ฉันนั้นค้นหาทั้งชื่อภาษาไทยและภาษาจีน search หาทุกตัวอักษรที่คิดว่า มันน่าจะมี แต่ปาฎิหารย์ไม่มีจริง ไม่เป็นไร เซินเจิ้นปักกิ่งต้องมีแน่นอน 555 ฉันยังไม่ลดละความพยายาม ไหนๆคุณแฟนก็ชวนไปปักกิ่ง คุณแฟนเธอไปทำงาน ส่วนฉันไปตามหาปลาร้า 555 นั่งรถไฟความเร็วสูงจากเซินเจิ้นไปปักกิ่ง 11 ชม (นั่งจนตูดเปื่อย ) อุ๊ยตายแล้ว เผลอพูดภาษาบ้านตัวเอง 555 ก็มาถึง โรงแรม (คุณขา ห้องน้ำสาธารณะที่จีนนี่แซบมาก...) เรื่องนี้พูดสามวันสามคืนก็ไม่จบ มันก็ไม่ได้สกปรกอะไร๊มากมาย แต่มันหลากหลายสตอรี่ เดี๋ยวเขียนในโพสต์ต่อไป แต่รับรองว่า ถ้าหากคุณผ่านด่านอรหันต์ห้องน้ำจากจีน คุณจะสามารถเข้าห้องน้ำที่ไหนก็ได้ทั่วโลก ดิฉันขอนอนยัน.....

มาถึงปักกิ่งซะที เมืองใหญ่อย่างนี้ต้องมีปลาร้าแน่ๆ ดิฉันก็ค้นหาหนักมาก อ่านจากในเว็บ Pantip ก็แล้ว จากเว็บ http://www.thaiinchina.com/  ก็ไม่มี ฉันจึงสรุปเองว่า ที่ปักกิ่งไม่มีปลาร้าขาย... ร้องไห้หนักมากกก (หรือถ้าหากใครรู้ว่าที่ปักกิ่งสามารถซื้อปลาร้าได้ที่ไหนช่วยแนะนำหน่อยค่ะ  จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง) หลังจากกลับจากปักกิ่งด้วยความหมดอาลัยตายอยาก คุณแฟนก็เลยพาไปทานอาหารไทย ร้านนี้ไปทานบ่อยประมาณอาทิตย์ละ 1-2 ครั้งก็เลยรู้จักกับเจ้าของร้าน เจ้าของร้านไปเรียนทำอาหารไทยอยู่เมืองไทยเป็น 10ปี รสชาติจึงแซ่บมาก เหมือนต้นตำหรับ 5555 โฆษณาเกินจริง แต่รสชาติอร่อยค่ะ บ่งตงเลย 5555  แต่จำชื่อร้านไม่ได้ รอให้คุณแฟนกลับมา จะมารายงานทั้งชื่อร้านและ แผนที่ค่ะ โอ้ย ++ พูดถึงปลาร้าน่ะเนี้ย เลยเถิดไปไหน กลับมาที่ปลาร้า 555 ด้วยอาศัยความสนิทสนมกับเจ้าของร้านบวกกับความหน้าด้านนิดๆก็เลย ถามเจ้าของร้านไปว่า คุณมีปลาร้าหรือเปล่า และแล้ว...........เวลาที่รอคอยก็มาถึง มีครับ คุณจะเอาหรือเปล่า .....โอ้ย!! ดีใจอยากกระโดดกอดเจ้าของร้านถ้าหากไม่ติดว่า ว่าที่สามีนั่งอยู่ด้วย หรือเมียเจ้าของร้านจะกระทืบเอา ......ฉันตามหาแทบตายไม่มีคำว่า ปฏิเสธ ค่ะ เจ้าของร้านก็ใจดีจัดมาให้ สองกล่อง กล่องหนึ่งมีเป็น (ตอนๆ) โอ๊ยแซ่บหลาย อีก กล่องหนึ่งสับละเอียด เตรียมตัวทำปลาร้าบ้อง โอ๊ยดีใจคัก!! ... อืมหลังจากได้สติ ถามคุณเจ้าของร้านอาหารว่าหาซื้อปลาร้าได้ที่ไหน เจ้าของร้านบอกว่า ไปซื้อมาจากฮ่องกง ใจดี ให้ฟรี เอาตังค์ให้ก็บ่เอา 555  นั่งแท็กซี่กลับบ้านกอดกล่องปลาร้ายังกะกอดกล่องทองคำ คุณแฟนถามว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า 5555 ก็มันคิดฮอท บ่พอกันโดน ..
ปลาร้า ที่เจ้าของร้านอาหารไทยให้มาฟรี ๆ.....ดีใจคัก




ปล. สำหรับใครที่อยู่ฮ่องกง สามารถหาซื้อปลาร้าได้ที่ ร้าน T&T หรือ Hongkong super market ! น่าตาขวดจะเป็นแบบนี้


   

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.ladyinter.com/forum_posts.asp?TID=51747

สำหรับใครที่อยากทำปลาร้าไว้ทานเอง สามารถเข้าไปดูสูตรได้ที่ ลิงค์ด้านล่างค่ะ เพราะดิฉันโทรไปบ่นให้ทางบ้านฟังทุกวันเรื่องหาซื้อปลาร้ายาก แม่เลยบอกว่า อีหล่าก็เฮ็ดเอาเป็นหยัง 5555 เสียงในฟิลม์ฉันก็เลยทำการค้นหา สูตร ทำปลาร้า แต่ดูเหมือนที่เว็บ food lover จะง่าย และดูอร่อยฉันก็เลยจะเอาสูตรนี้จะมาลองทำทานดู ถ้าหากวันไหนลองทำแล้วเดี๋ยวจะโพสต์ให้ดูค่ะ  :P :P




วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2559

จีนก่อนมา


            สมัยตอนที่อยู่เมืองไทย ได้อ่านข่าวเกี่ยวกับคนจีน ที่ไร ละเหี่ยใจทุกที ถ้าหาก ไม่ไปขี้ใส่วัดร่องขุ่น ก็ไปสาดน้ำใส่แอร์โอสเตสบนเครื่อง คืออ่านข่าวทีไรก็ได้แต่ถอนหายใจ และด้วยที่เคยทำงานโรงแรม และได้สัมผัสถึงความเป็นตัวตนของคนจีนด้วยแล้ว คุณขาาา...มันอเมซิ่งมากกกค่ะ (ต้องวงเล็บลากเสียงยาวเลยน่ะค่ะ ) แต่ถึงแม้เสียงคุณจะดังขนาดไหน ก็จะไม่วันสู้เขาค่ะ คุณต้องตะโกนค่ะ อย่ายอมเขา อย่าอาย ทัวร์คนจีนมาแต่ละครั้ง ดิฉันต้องเตรียมยาแก้อมเจ็บคอไว้ กว่าจะเช็คอินเสร็จวุ่นวายมากค่ะ เหมือนตลาดแตก แต่มีอยู่กรุ๊ปหนึ่งมาเช็คอินประมาณ 10 คน ทั้งกรุ๊ปเงียบมาก "ดิฉันสัมผัสได้ว่า.....(ริว จิตสัมผัส ) มีพลังบางอย่าง.....มันไม่ใช่ .55555   เออไม่ต้องคิดเยอะหรอกค่ะ คุณผู้อ่าน เขาแค่เป็นใบ้กันค่ะ 55555  ทั้งกรุ๊ปก็เลยเงียบอย่างเป่าสาก แต่พอดีหลังจากลูกค้ากรุ๊ปนั้นเช็คอินเสร็จ มีทัวร์มา ดิฉันก็โทรตามให้...ก็โทรเป็นนานสองนาน  ก็ไม่มีใครรับ ดิฉันก็ตกใจนึกว่า ลูกค้าเป็นอะไรหรือเปล่า ก็เลยขึ้นไปเคาะที่ห้องก็ไม่มีใครเปิดประตู ยังดีที่แม่บ้านเดินมาบอกว่า "เขาไม่พูดกันน่ะ เขาใช้ภาษามือกัน" (แม่บ้านเป็นคนเขรมน่ะค่ะ พู๊ดภาษาไทยไม๊ชัด เอ่อฉันลืม



 ยิ่งได้ฟังเดี่ยว ที่พี่โน๊ตพูดถึงเมืองจีน ยิ่งทำให้ฉันหยี้หนักมาก แต่ดิฉันต้องออกตัวก่อนเลยน่ะค่ะ ว่า ดิฉันชอบดูหนังจีน (เพราะพระเอกหล่อ ไม่ทำศัลยกรรม ) ดิฉันชอบศึกษาประวัติศาสตร์จีน และอยากมาเที่ยวเมืองจีน แต่กลัวการใช้ห้องน้ำสาธารณะจีน (เกี่ยวกันไหม ??? ) คงเกี่ยวอยู่เนอะ ก็สรุปว่า ญาติกาพี่น้องเพื่อนฝูง ไม่มีใครคิดว่า ดิฉันจะมีแฟนเป็นคนจีน เพราะไปว่า เขาไว้เยอะ พระท่านว่าเกลียดสิ่งไหนเราจะได้สิ่งนั้น แม่ฉันสอนเป็นประจำ แต่ฉันก็บอกแม่ว่า ไม่เอาหรอก_ัวจีน ยังไม่อยากหูตึง แต่วันที่ฉันบอกแม่ว่า แฟนฉันเป็นคนจีนเท่านั้น ท่านแม่ของดิฉันถึงกับสำลักคำข้าว 55555  ถามย้ำอยู่สามรอบ แล้วก็พูดว่า " กุว่าแล้วด่วย ไป๋ว่าเขาหลาย เป็นหยังไร (เสียงในฟิมส์)  ค่ะ เกลียดปลาไหลแต่กินน้ำแกง มันใช้ได้หรือเปล่า คุณผู้อ่านขา ตอนนั้นดิฉันก้ได้แต่ทำใจ เพราะโดนเยาะเย้ยหนักมาก.....(แสดงเป็นนางเอกน้ำตาจิไหล) คุณผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า แฟนฉันเป็นเงาะป่าจริงหรือ หรือแฟนดิฉันอาศัยอยู่บนดอย ด้อยพัฒนา คุณผู้อ่านไม่ต้องไปสงสัยในตัวแฟนดิฉันค่ะ เขานั้นเพียบพร้อมและดีงาม แต่ที่ทุกคนต่างเยาะเย้ยถางถ้างดิฉันนั้นเพราะเขา สมน้ำหน้าดิฉัน 55555  แต่ไม่เป็นไร ได้แฟนดีเหมือนถูกล็อตเตอรี่ ไอด้อนแคร์ ....



  หลังจากได้เรียนรู้กันมาได้สักพัก ก็ถึงเวลาต้องขยับความสัมพันธ์ หอบสังขารระหกระเหินบินมาหาที่เมืองจีนแผ่นดินใหญ่ แต่ก่อนที่จะบิน คุณขาชีวิตดิฉันวุ่นวายมากค่ะ ดิฉันกลัวโน่นนี่นั้น กลัวร้อยแปด วันจะบินกระเป๋าดิฉันหนักถึง 38กก ทั้งๆที่สายการบินกำหนดให้แค่ 20 กก หลายท่านอาจสงสัยมันหอบ_่า อะไรไปว่ะ ดิฉันทราบว่า หลายท่านอาจจะคิดไม่ถึง ภายในกระเป๋าดิฉันนั้นมีตั้งแต่ ตะใคร้ ขิง ข่า ใบมะกรูด ตามด้วยปลากระป๋อง 10 กระป๋อง น้ำปลา ซอสหอยนางรม ซอยถั่วเหลือง น้ำจิ้มสุกี้ น้ำพริกเผา น้ำพริกตาแดง มาม่านี่(คุณแฟนสั่งว่าต้องเอาแบบกระป๋องมาเท่านั้น แบบซองไม่เอา ) คือเรื่องมากอีก กระเป๋าแทบจะไม่มีที่ เสื้อผ้ากางเกงนงกางเกงในได้มาไม่กี่ชุด เพราะคิดว่าเดี๋ยวค่อยมาซื้อเอาดาบหน้า เสื้อผ้าเมืองจีนแสนจะถูก รองเท้าได้มาคู่เดียว คือคู่ที่ใส่มา ส้นสงส้นสูง ยัดใส่กระเป๋าไม่ได้  ขอให้ท่านผู้อ่านคิดภาพ ว่าดิฉันนั้นเป็นคนเรื่องเยอะ กระเป๋าเดินทางนั้นที่สุด เอาออกแล้ว เอาออกอีก 3 รอบ แล้วแบกกระเป๋าไปชั่งน้ำหนักที่หน้า 7-11 น้ำหนักก็ยังเกิน สุดท้ายได้ไปเอาออกที่สนามบินอีก 8 กก ไอ้น้ำพุดน้ำพริก ซอส น้ำปลา ปลากระป๋อง เอาออกเรียบค๊า เพราะสู้ราคาค่าน้ำหนักเกินไม่ไหว * ถ้าหากเป็นสายการบิน shenzhen Airline น้ำหนักกระเป๋าจะคิดกิโลละ 250 บาท ทางสายการบินให้แค่ 20 กก เท่านั้น แต่ตอนที่มาก็เห็นน้องที่มาเรียนต่อที่เมืองจีนเกินไป 3 กก ก็ขอได้ หมายถึงขอพนักงานสายการบินตอนที่เช็คอิน คนไทยส่วนมากใจดี ยวน ยวน 

พอคนพร้อม กระเป๋าพร้อม ส่วนใจนัั้นพร้อมไปนานแล้วหล่ะ ก็ถึงเวลาบินจากสุวรรณภูมิใช้เวลาประมาณ 3ชั่วโมง 50 นาทีถึงสนามบิน Shenzhen Bao'an international airport .สนามบินใหญ่ม๊ากกก....เหมือนเที่ยบเท่ากับสุวรรณภูมิเลย แต่ช่วงที่มาคนไม่ค่อยเยอะเท่า แต่ขอชื่นชม immigration ที่นี่ค่ะ ทำงานเร็วมากก.....พอผ่าน immigration ก็มารอรับกะเป๋า ได้กระเป๋าเดินออกมาก็เจอคุณแฟน 55555






นี่เป็นภาพถ่ายบ้างส่วนของ สนามบิน  Shenzhen Bao'an international airport